เทศน์เช้า

โลกรู้ตามธรรม

๒๕ ก.ค. ๒๕๔๒

 

โลกรู้ตามธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ถ้าพิสูจน์อย่างนั้นมันพิสูจน์ได้ แล้วมีความเชื่อเป็นทางวิทยาศาสตร์ แต่ทางเป็นวัตถุว่าการไปดวงจันทร์ การวิทยาศาสตร์ไป แล้ว ไปดวงจันทร์ พอถึงดวงจันทร์ ดวงจันทร์ห่างจากโลก ๔ แสนกิโลเมตร แล้วมองกลับมายังโลก ถ่ายภาพมายังใหญ่มากเลย เห็นไหม ยังใหญ่มาก แล้วภาพสวยมากภาพบนดวงจันทร์ แรงดึงดูดของดวงจันทร์ ๑ ใน ๔ ของโลก การเดิน การเคลื่อนไหวในดวงจันทร์ แล้วการมองเห็นจากดวงจันทร์เข้ามายังโลก แล้วถ่ายภาพมาภาพยังใหญ่มาก นี่การพิสูจน์ แต่สองพันห้าร้อยกว่าปี เพราะมันขึ้นไปปี ๒,๕๑๒ ปี

แต่พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย แล้วเป็นผู้มีฤทธิ์มากไง ท่านธุดงค์ไป แล้วเจอผู้หญิงเข้าไปทำกรรมกับท่าน แล้วท่านหลุดปากไปว่าขอให้เป็นตัวหนอน ให้ออกจากปาก ออกจากทวารทั้ง ๖ แล้วพอออกไปแล้วก็เห็นว่า โอ้โฮ มันน่าสงสารมาก เพราะทำกรรมกับพระโมคคัลลานะ ก็ไปถามพระพุทธเจ้า บอกว่า “น่าสงสารมากเลย มันมีพวกหนอนพวกอะไรออกมาตามทวารทั้งนั้นเลย จะทำอย่างไร? จะแก้อย่างไร?”

“ทำไม่ได้หรอกโมคคัลลานะ”

“เพราะอะไร?”

“เพราะกรรมหนักมาก”

“หนักขนาดไหน?”

“หนักกว่าแผ่นดิน” ...หนักกว่าโลกนี้ไง หนักกว่าแผ่นดินนี้ทำอย่างไร? ขอดูแผ่นดินขนาดไหน? ก็เลยบอกว่าถ้าจะดูแผ่นดินขนาดไหน? เหาะออกไปไง แล้วจะกลับมาว่าดูแผ่นดินขนาดไหน? พระพุทธเจ้าเตือนไว้นะ

“โมคคัลลานะ ถ้าออกไปแล้ว ถ้ามองกลับมา ถ้าโลกนี้เท่ากับใบมะขามให้กลับนะ โลกนี้เท่ากับใบมะขาม อย่าไปอีกนะ” ถ้าไปอีกแล้วมันจะหลงทิศไง

นี่อยู่ในตำราว่าพระโมคคัลลานะหลงทิศไง ก็เลยเหาะออกไป เหาะออกไปข้างนอกแล้วย้อนกลับมาดูโลกของเรา ดูตลอด แล้วพระพุทธเจ้าเตือนไว้แล้วว่าอย่าหลุดออกไปนะ ถ้าเล็กเท่าใบมะขามอย่าไปอีก เพราะมันจะหลุดออกไป ไปนะ พอเหาะออกไปแล้วมองกลับมาที่โลกเรานี่จนเล็กเท่าใบมะขาม จนไปอีกจะดูว่ามันใหญ่ขนาดไหนไง พอออกไปก็ใหญ่มาก เห็นไหม เหาะออกไป แล้วถ่ายรูปมาจากดวงจันทร์ยังภาพขนาดนั้น ไกลกว่า ๔ แสนกิโล ไกลกว่านี้อีก ออกไปจนพ้นออกไปเลย ออกไปหลงทิศไปเลย หลงทิศไปเลยแล้วก็เข้าไปหาอีกจักรวาลหนึ่ง เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์นั้นบอกว่า “เราไม่ใช่สมณโคดม” จะส่งพระโมคคัลลานะกลับมา

“ให้ไปตามลำแสงนี้นะ” ลำแสงพระพุทธเจ้าก็กำหนดจิตมาเลย เพราะกำหนดจิตมา

“ให้ตามลำแสงของลำแสงนั้นกลับมา” ส่งกลับมายังจักรวาลของเราไง

พระโมคคัลลานะกลับมาได้ หลุดออกไปเลย นี้ในพระไตรปิฎกบอกไว้ไง บอกว่า เห็นไหม มีหมื่นจักรวาล เวลาเราสวดมนต์ แต่เราไม่เชื่อกันไง เราไม่เชื่อกัน แต่เวลาออกไป อันนั้นเป็นมาแล้วสองพันกว่าปี เพราะพระโมคคัลลานะหลงทิศไง เพราะจะพิสูจน์

เห็นอยู่เวลาเรื่องกรรม ทำกรรม เข้าใจเรื่องกรรม แต่พอพระพุทธเจ้าบอกว่า

“กรรมนี้ใหญ่กว่าแผ่นดิน” ใหญ่กว่าโลกนี้ กรรมที่ทำกับพระโมคคัลลานะ

พระโมคคัลลานะบอก “แผ่นดินขนาดไหน? อยากดู” อยากดูก็เหาะไป นี่มันอยู่ในพระไตรปิฎกมาตั้งแต่สองพันกว่าปีแล้ว ว่าถ้าออกไปแล้วเท่ากับใบมะขามไง โลกนี้เล็กจนเป็นจุดเดียว อย่าออกไปอีก เพราะแบบว่ามันจับจุดไม่ได้ เพราะจักรวาลมันมีมาก มันจะหลุดออกไปอีกจักรวาลหนึ่ง กาแล็กซี่ออกไปเลย แล้วนี่พอไปดวงจันทร์ ย้อนกลับมา ส่งกลับมาถ่ายภาพโลกไง ขนาดอยู่ไกลจากโลก ๔ แสนกิโลเมตร ถ่ายมานะยังเป็นภาพใหญ่มาก ยังใหญ่กว่าใบมะขามมาก นี่พระโมคคัลลานะต้องไปมากกว่านี้อีกถึงจะเห็นภาพนั้น แต่ตอนนั้นพระโมคคัลลานะทำได้องค์เดียว พระพุทธเจ้าก็ทำได้ แต่ไม่ทำอย่างนั้นเพราะไม่มีเหตุสงสัยไง คนจะทำอะไรต้องมีเหตุสงสัย อยากรู้อยากเห็นในสิ่งนั้น ถึงทำสิ่งนั้นไง

ทีนี้อยากรู้ว่าแผ่นดินที่มันใหญ่ กรรมอันนี้ใหญ่กว่าแผ่นดิน หนักว่าแผ่นดิน มันใหญ่ขนาดไหนนี่ออกไปดู นี่สิ่งนี้เกิดขึ้นมาแล้วสองพันกว่าปี ด้วยฤทธิ์ไง แต่มันก็เกิดมาตลอด อัครสาวกเบื้องซ้ายผู้มีฤทธิ์ตลอด มีฤทธิ์หมายถึงว่าออกไปได้ พระโมคคัลลานะไปสวรรค์ ไปนรก แล้วกลับมาบอกพระพุทธเจ้าว่าญาติผู้นี้ๆ ตายไปแล้วอยู่ที่นั่นๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าจริง จริงหมดเลย

อันนี้มันสำคัญกว่านี้ สำคัญกว่าตรงไหน? อาจารย์บอกอยู่แล้วว่านักวิทยาศาสตร์ไม่เคยเห็นสวรรค์ นักวิทยาศาสตร์นะ จรวดขับเคลื่อนไปขนาดไหน ไม่เคยเห็นสวรรค์นะ มันเป็นมิติเดียวกัน แต่มันคนละจักรวาลมันอยู่ในอันนี้ใช่ไหม? แต่ถ้าเรื่องของจิต การเกิดนรก สวรรค์ การเกิดภพชาติ เห็นไหม เราเสวยชาติเป็นมนุษย์ พอเราตายไป นี่เสวยชาติเป็นอะไร? เป็นเทวดา เป็นมนุษย์อีก เป็นสัตว์ เป็นนรกก็ได้ เราเสวยชาติต่อๆ ไป เพราะจิตนี้เกิดดับๆ

จิตนี้เกิดดับใช่ไหม? แต่เราเสวยเป็นมนุษย์ แต่เวลาเราตายไป เราตายไป เพราะมนุษย์มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ถ้าไม่มีจิตมาไง ธาตุไฟเข้า จิตมา พลังงานอื่นเข้ามาปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา นี่ออกมา แต่ว่าโอปปาติกะเกิดเป็นเทวดา เกิดเลย ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เกิดด้วยกรรม เกิดในนรกเกิดด้วยกรรม กรรมพาเกิดไง แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน อบายภูมิ เกิดเป็นผีก็ไม่ต้องอาศัย อาศัยกรรมเกิด กรรมพาเกิดเป็นโอปปาติกะ แต่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดต้องอาศัยพ่อแม่เป็นแดนเกิด

จิตนี้มีกรรมอยู่แล้ว แต่กรรมอันนี้ ร่างของมนุษย์ ภพของมนุษย์มันเป็นกรรมพันธุ์ ครอบด้วยกรรมพันธุ์ ครอบด้วยนิสัย แล้วจิตที่มาเกิด กรรมของจิตดวงนั้นก็อีกชั้นหนึ่ง ถึงว่ากรรมมันบาลานซ์กันระหว่างพ่อแม่ บุญกรรมนี่ภพกลาง ถ้าไปสวรรค์ก็ไปเลย นี่มิติอันนั้น พระโมคคัลลานะย้อนจิตเข้า ผ่านมิติอันนั้นเข้าไป เข้าไปเห็นสวรรค์ เห็นการเกิดและการตาย เกิดแล้วไปที่ไหน?

มันเข้ากับวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ตามเข้าไปดูไง ตามเข้าไปดู แล้วก็อาสวักขยญาณทำให้จิตนี้สะอาด จิตที่จะไปเกิดเพราะตัวนี้พาไปเกิด แต่จิตนี้มันสะอาดได้เพราะว่าอาสวักขยญาณ ญาณของใจที่เข้าไปชำระล้างใจไง ใจแก้ใจไง ต้องเอาความรู้สึกเข้าไปแก้ความรู้สึกไง เอาจิตให้สงบก่อน แล้วเอาเข้าไปแก้ อันนั้นอาสวักขยญาณ นี่ทำได้ตรงนั้น ตรงนั้นก็ทำได้ อันนี้สำคัญกว่าที่ว่าไปเห็นโลกเท่าใบมะขาม

มันเป็นมิติเดียวกัน สุดท้ายปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ พอมีเทคโนโลยี พอพุ่งออกไปถึงดวงจันทร์ ย้อนกลับมาดูโลกยังเป็นภาพใหญ่มาก ยังขยายแล้วมีส่วนใหญ่ แต่นี่มองด้วยฤทธิ์นะ ออกไปย้อนกลับมาเท่าใบมะขาม พระพุทธเจ้าบอกถ้าอย่างนี้เป้าหมาย ยังดึงกลับได้ ยังส่งกระแสจิตกลับมาได้ พอหลุดจากนี้ไปไม่เห็นภาพไง มันไม่เห็นที่หมาย หลุดไปเลย ทีนี้มันก็ไป ไปแบบที่เครื่องบินตก เห็นไหม ที่ว่าเครื่องบินที่เขาตก

เวลาเขาฝึกเครื่องบินใหม่มันไปตามทิศ เวลาเชิดหัวขึ้นก็ต้องขึ้น แต่เวลาหลงทิศไง พระโมคคัลลานะหลงทิศ หลงออกไปเลย แต่นี่หลงทิศเวลาเครื่องบินมันปักหัวลง เข้าใจว่าเชิดขึ้นไง เข้าใจว่าเพราะจับทิศทางไม่ได้แล้ว ความมึน นี่มันหลงทิศไปแล้ว หมุนไปเลย ถ้าพ้นจากใบมะขามไป ใบมะขามนั้นเป็นทิศทางที่ว่าจะต้องกลับมา โลกนี้เล็กเท่าใบมะขาม ต้องย้อนกลับมา แต่ถ้าหลงทิศคือหลุดออกไปเลย หลุดออกไปเลยนะ แต่ฤทธิ์มาก ฤทธิ์ตัวนี้มันเป็นแบบว่าอภิญญา ๖ ไม่ได้ชำระกิเลสหรอก

ชำระกิเลสคืออาสวักขยญาณ ชำระกิเลสคือชำระทุกข์ ฤทธิ์เป็นฤทธิ์ ก่อนนั้นก็เคยมีมาแล้ว แต่มันไม่มหัศจรรย์ ทำไม่ได้มากเหมือนพระโมคคัลลานะเท่านั้นเอง นั่นฤทธิ์คือฤทธิ์ นี่มันถึงว่าคุณค่าของศาสนาไง ตัวศาสนาทำได้จริง เวลาทำขึ้นมาแล้วมันได้จริงหลายๆ อย่าง นี่ขนาดจริงเปลือกๆ นะ จริงอย่างนี้จริงเปลือกๆ เพราะอะไร? เพราะนอกศาสนาเขาก็ทำกันได้ ทำกันได้ แต่ทำแล้วมันไม่ใช่ตัวสัจธรรม ตัวสัจจะคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตัวสัจจะคือแก้ทุกข์ ทุกข์ในหัวใจ มหัศจรรย์กว่ามาก

มหัศจรรย์ สิ่งที่ว่าเข้าไปเห็นนั่นน่ะ เพราะอะไร? เพราะอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ การขุดคุ้ยถากถางจิต การเห็นเป้าหมาย การทำให้จิตสงบ สงบเหมือนกับอวกาศไม่มีอะไรเลย แล้วเคว้งคว้างไง ต้องย้อนกลับ ยกขึ้นวิปัสสนา ว่างในว่างอีกทีหนึ่ง ว่างอันแรกว่างเพราะเราทำความสงบ ถ้าว่างอย่างนี้มันมหัศจรรย์ อากาศมันก็มีความมหัศจรรย์ ลมมันก็มีความมหัศจรรย์ เพราะลมมันพัดเคลื่อนไปตลอดเวลา ลมมันผ่านไปที่ไหนก็ผ่านได้ หัวใจเรามันก็ผ่านได้ถ้ามันว่าง มันสบาย ไปไหนมันก็มีแต่ความสุข แต่วันไหนมีความทุกข์ วันไหนมีความเจ็บแปลบในหัวใจ มันว่างไม่ได้ มันเจ็บปวดมาก มันขัดเคืองมาก

จะย้อนกลับมาตรงนี้ ถ้าทำความสงบได้มันว่างก่อน ว่างแล้วถึงต้องขุดตรงนี้ไง เป้าหมายคือตรงนี้ไง แล้วขึ้นมาวิปัสสนาไง วิปัสสนาชำระกิเลส นี่อันนี้มันถึงว่ามหัศจรรย์กว่า แต่มหัศจรรย์ขนาดไหนไม่มีใครรู้เท่าพระพุทธเจ้า จนกว่าพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรก ถึงว่าเป็นพยานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อ๋อ อาสวักขยญาณมันเป็นอย่างนั้นไง ทีนี้มันไม่มีพยานกัน พูดไปมันไม่มีใครรู้ไง แต่ถ้าบอกเรื่องฤทธิ์ เรื่องจักรวาลออกไปวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ เห็นได้ชัดไง

ถึงว่าขนาดยกอันนี้ขึ้นมายังมหัศจรรย์เลย แต่การชำระกิเลสมหัศจรรย์กว่าหลายเท่า การทำลายจักรวาลทั้งหมดไง การทำลายสุริยจักรวาล ทำลายอวิชชาที่หัวใจไง ตัวแรงดึงดูดทั้งหมด จักรวาล ดวงอาทิตย์เป็นสุริยจักรวาล อวิชชาอยู่ในหัวใจของเรา เราทำลายได้หมดเลย ทำลายในหัวใจของผู้ที่ปฏิบัตินั้น มันมหัศจรรย์กี่เท่า เพราะอะไร? เพราะมันเกิด มันมี มันเป็นไป แล้วมันไม่เคยดับ คนเกิดมานอนหลับก็ตกภวังค์ ใจไม่เคยพักเลย พอจิตเป็นความสงบ มันปล่อยจากอารมณ์ เห็นไหม มันว่างได้ ขณะมันปล่อยมันเป็นความว่างนะ แล้วเอาความว่างวิปัสสนาอีกที เห็นไหม

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)